เตือนแล้วนะ!! ทานเห็ดป่าในช่วงหน้าฝน ระวังพลาดเจอเห็ดพิษร้ายแรงอันตรายถึงชีวิต!


รอง นพ.สสจ.เชียงใหม่ เตือนทานอาหารป่าในช่วงหน้าฝน ระวังพลาดทานเห็ดพิษร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต  ล่าสุดมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้วยกครัวรวม 4 ราย พร้อมยืนยันว่าการใช้ช้อนเงินตรวจไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นเห็ดพิษหรือไม่
วันนี้(10 ส.ค. 58) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงนี้ชาวบ้านในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ ต่างมีรายได้เสริมในช่วงหน้าฝนจากการเก็บเห็ดป่าออกวางขาย เนื่องจากฝนที่ตกต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้เห็ดป่าหลายชนิดออกเป็นจำนวนมากเนื่องจากอากาศและสภาพแวดล้อมเหมาะสม ซึ่งเห็ดที่มีการวางขายและเป็นที่นิยม ได้แก่ เห็ดไข่ห่านสีเหลือง, เห็ดไข่ห่านสีขาว, เห็ดแดง, เห็ดโคน, เห็ดหล่ม และเห็ดห้า เป็นต้น โดยชาวบ้านหลายรายมีรายได้จากการเก็บเห็ดขายวันละกว่า 1,000 บาท
ดร.สุรสิงห์ วิศรุตรัตน รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่มีเห็ดป่าชนิดต่างๆ ออกเป็นจำนวนมาก และเป็นที่นิยมของผู้คนทั่วพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในการนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน อย่างไรก็ตาม พบว่ามีเห็ดพิษหลายชนิดเช่นกันที่มีลักษณะคล้ายเห็ดป่าที่รับประทานได้ ทำให้มีผู้ที่หลงเข้าใจผิดและรับประทานเข้าไปได้รับอันตราย ซึ่งมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของเห็ดพิษที่รับประทานเข้าไป
ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่งพบผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาอาการป่วยจากการรับประทานเห็ดพิษเข้าไป 4 รายในพื้นที่อำเภอไชยปราการ โดยผู้ป่วยทั้งหมดเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ล้มป่วยจากการนำเห็ดพิษมาปรุงอาหารรับประทานในครอบครัว อย่างไรก็ตาม แพทย์สามารถทำการรักษาได้ทันจึงไม่มีผู้เสียชีวิต โดยกลุ่มนี้นับเป็นกลุ่มที่สองแล้ว หลังจากที่ช่วงก่อนหน้านี้ประมาณ 1 เดือนมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษามาแล้ว แต่ทั้งนี้ในปีนี้ยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดพิษแต่อย่างใด ขณะที่ในปี 2557 ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงใหม่มีผู้ป่วยจากการรับประทานเห็ดพิษ 63 ราย และมีผู้เสียชีวิตด้วย
ดร.สุรสิงห์เตือนถึงผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานเห็ดป่าว่า หากไม่รู้จักหรือแม้แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเห็ดที่รับประทานได้หรือไม่ก็ห้ามรับประทานอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น หรือหากมีการรับประทานเห็ดป่าก็ควรรับประทานแต่น้อย เผื่อในกรณีที่เป็นเห็ดพิษอาจจะมีความรุนแรงของอาการน้อยลง และในกรณีที่รับประทานเห็ดพิษเข้าไปให้รีบทำให้อาเจียนออกมาให้มากที่สุด พร้อมเก็บตัวอย่างเห็ด และพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ย้ำด้วยว่าความเชื่อในการใช้ช้อนเงินตรวจสอบว่าเห็ดมีพิษหรือไม่นั้นเป็นความเชื่อที่ไม่เป็นความจริง

ที่มาและเนื้อหาจาก http://social.tnews.co.th/content/156215/
คลิปยูทูปจาก T News Online
เผยแพร่เมื่อ 9 ส.ค. 2015



รู้จักไหม?..."ทุเรียนสีรุ้ง" ในอินโดนีเซีย



โดย เคหการเกษตร ข้อมูล: Trubus Magazine

นิตยสาร Trubus ของอินโดนีเซียได้ไปเยี่ยมสวนทุเรียนที่ปาปัว ซึ่่งเป็นจังหวัดทางตะวันตกของอินโดนีเซีย และคาดว่าทุเรียนสีรุ้ง หรือทุเรียน Pelangi นี้สามารถพัฒนาไปเป็นทุเรียนคุณภาพเยี่ยมได้ในอนาคต

โอกาสนี้เคหการเกษตรจึงได้นำข้อมูลบางส่วนมาแลกเปลี่ยนให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนตลอดจนชาวสวนไม้ผลอื่นๆ ของไทยได้ชมความหลากหลายของพันธุ์ทุเรียนอินโดนีเซีย ซึ่งสีของเนื้อผลออกแดงระเรื่อดูน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ทุเรียน Pelangi หรือทุเรียนสีรุ้ง มีเนื้อประมาณ 33-38% ของผลทุเรียน เนื้อหวานหอมคล้ายคาราเมล เป็นที่ชื่นชอบของคอทุเรียนในอินโดฯ อีกทั้งให้ผลผลิตสูงประมาณ 600 ผลต่อต้นในหนึ่งฤดูกาล น้ำหนักต่อผลเฉลี่ยประมาณ 2 กิโลกรัม ให้ผลผลิตปีละ 2 ครั้ง โดยเนื้อทุเรียนรสชาติหอมหวานคล้ายคาราเมลนี้มีเนื้อสีเหลืองทองแดง ปนด้วยสีชมพูและแดง ซึ่งบางครั้งมีสีแดงเข้ม

ทุเรียนสีรุ้งในอินโดนีเซียพันธุ์ต่างๆ
พันธุ์มาร่อน (Maron) จากบันยุวังกี ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย  

พันธุ์เทรทส์ (Tretes)

พันธุ์บูลันกัน (Bulungan) จากกาลิมันตัน ทางตะวันออกของอินโดฯ

พันธุ์ไลซิน (Licin)

พันธุ์เซ็กซี่พิงค์ (Sexy Pink)

พันธุ์ราจา ไตรราซา (Raja Trirasa)

พันธุ์วายุท (Wayut)

ทุเรียนสายรุ้งเหล่านี้ถูกจำหน่ายไปยังเมืองต่างๆ เช่น บูลันกัน กาลิมันตัน บันยุวังกี และมะหนกวารี เป็นต้น
ขอบคุณที่มาเนื้อหาและภาพจาก www.kehakaset.com

"ทอดมันปลาแซลมอน"มาลองทำกันดู


เนื้อปลาแซลมอนสดนำมาตีกับพริกแกงเผ็ดปรุงรสด้วยน้ำปลา ชุบเกล็ดขนมปังทอดจนเหลืองกรอบ รับประทานกับน้ำจิ้มไก่ที่มาพร้อมกับแตงกวาและเม็ดมะม่วงหิมพานต์

ส่วนประกอบ
ปลาแซลมอน 400 กรัม
พริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำปลา 2 ช้อนชา
แป้งข้าวโพด 1½ ช้อนโต๊ะ
ผักชีลาว (สับ) 2 ช้อนโต๊ะ
เกล็ดขนมปัง (ป่น) 1 ถ้วย
น้ำมันรำข้าว สำหรับทอด
น้ำจิ้มไก่ สำหรับเสิร์ฟ
แตงกวา สำหรับเสิร์ฟ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ สำหรับเสิร์ฟ

วิธีทำ

1. แยกไข่ขาว และไข่แดง

2. นำปลาแซลมอน พริกแกง ไข่แดง น้ำปลา และแป้งข้าวโพด ใส่เครื่องบดสับ ปั่นให้เนียนดี ใส่ผักชีลาวสับลงไป นวดให้กระจายดี

3. แบ่งส่วนผสมออกเป็น 12 ชิ้น ตีไข่ขาวให้พอแตกตัว นำทอดมันปลาแซลมอนไปชุบไข่ขาวบางๆ ตามด้วยเกล็ดขนมปังป่น ทำซ้ำจนหมด

4. ตั้งน้ำมันรำข้าวสำหรับทอด นำทอดมันลงไปทอดที่ 170 องศาเซลเซียส ประมาณ 3 นาที ให้สุกดี

5. เสิร์ฟทอดมันกับน้ำจิ้มไก่ โรยหน้าด้วยแตงกวาซอย โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับหยาบ


ที่มา : พลพรรคนักปรุง 6 สิงหาคม 2558
สูตรโดย : พล ตัณฑเสถียร

เกิดอะไรขึ้น 1 ชั่วโมงหลังจากดื่มโค้ก 1 กระป๋อง


1) 10 นาทีแรกหลังจากดื่มโค้ก 1 กระป๋อง:

น้ำตาล 10 ช้อนชาได้เข้าไปในระบบของร่างกายของคุณแล้ว (10 ช้อนชา = 100% ของปริมาณน้ำตาลที่ควรได้รับต่อวัน) แต่เหตุผลที่คุณไม่อาเจียนออกมาทันนี้ด้วยความหวานที่มากจนเกินไปนี้เป็นเพราะ กรดฟอสฟอริก (สารปรุงรส) และ การปรุงแต่งรสชาติต่างๆ ใน โค้ก ทำให้ลดรสความรู้สึกหวานอันมากที่คุณควรรับรู้ให้น้อยลง ซึ่งมีผลทำให้คุณไม่อาเจียน โค้ก ออกมา

2) 20 นาทีหลังจากดื่มโค้ก 1 กระป๋อง:

ปริมาณน้ำตาลในเลือดของคุณพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการผลิต อินซูลิน ปริมาณสูงเช่นกัน (อธิบายแบบง่ายๆ อินซูลินมีไว้ความคุมระดับน้ำตาลในเลือด) ผลตอบสนองที่จะเกิดขึ้นคือตับของคุณจะทำการเปลี่ยนน้ำตาลที่มีอยู่ (ซึ่งมีมากอยู่ในขณะนั้น)ให้เป็นไขมัน

3) 40 นาทีหลังจากดื่มโค้ก 1 กระป๋อง:

การดูดซับคาเฟอีนเสร็จสมบูรณ์ ม่านตาของคุณเกิดการขยาย และ ความดันของคุณเพิ่มขึ้น เพราะเป็นการตอบสนองจากการที่ตบของคุณปล่อยน้ำตาลลงในกระแสเลือด รวมทั่ง ตัวรับอะดีโนซีน (Adenosine Receptor) ถูกบล็อคทำให้คุณไม่ง่วงนอน (อธิบายแบบง่ายๆ เวลาคุณตื่น อะดีโนซีน จะเริ่มก่อตัวในสมองเรา ซึ่งมันจะไปเกาะกับ ตัวรับอะดีโนซีน ในสมองทำให้เราง่วงนอน และ อยากไปพักผ่อน แต่คาเฟอีนจะสามารถบล็อค ตัวรับอะดีโนซีน ซึ่งจะทำให้อะดีโนซีนไม่สามารถเกาะได้ เราก็เลยจะไม่รู้สึกง่วงนอนนั้นเอง)

4) 45 นาทีหลังจากดื่มโค้ก 1 กระป๋อง:

ร่างกายของคุณจะผลิต โดพามีน (สารความสุข) ออกมา และ กระตุ้นจุดรับรู้ความสุขในสมองคุณ ซึ่งเหมือนกับผลที่เราจะได้รับถ้าเราใช้ยาเสพติดอย่างเฮโรอินเป็นต้น

5) >60 นาทีหลังจากดื่มโค้ก 1 กระป๋อง:

กรดฟอสฟอริก ทำการผูกตัวเองกับ แคลเซียม แมกนีเซียม และ ซิงค์ ในลำไส้เล็ก ซึ่งจะเพิ่มการเผาผลาญของร่างกายบวกกับน้ำตาลปริมาณสูง และ น้ำตาลเทียม ที่คุณได้รับจาก โค้ก สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการเพิ่มอัตราการสูญเสียแคลเซียมจากการปัสสาวะ

6) >60 นาทีหลังจากดื่มโค้ก 1 กระป๋อง:

คาเฟอีนเริ่มมีผลกับระบบปัสสาวะของคุณ (อธิบายแบบง่ายๆ ก็คือทำให้คุณอยากฉี่มาก และ บ่อยขึ้นนั้นเอง) โดยหลังจาก กรดฟอสฟอริก ที่ได้ทำการผูกตัวเองกับ แคลเซียม แมกนีเซียม และ ซิงค์ แล้ว (ซึ่ง แคลเซียม แมกนีเซียม และ ซิงค์ ควรที่จะถูกนำไปเสริมสร้างกระดูก) ก็จะถูกขับออกมาพร้อมๆ โซเดียม เกลือแร่ และ น้ำ ในเวลาที่คุณฉี่

7) >60 นาทีหลังจากดื่มโค้ก 1 กระป๋อง:

หลังจากผลของการดื่ม โค้ก ในทุกอย่างที่ว่ามา (1-6) หมดลง คุณก็จะเริ่มรับรู้ถึง “อาการถอน น้ำตาล” ซึ่งอาจทำให้คุณมีอาการ หงุดหงิด และ/หรือ เฉื่อยชา แต่สิ่งที่สำคัญคือนอกจากการที่คุณได้ขับน้ำทั้งหมดที่คุณได้รับจาก โค้ก ออกมากับการฉี่แล้ว ในฉี่ของคุณที่ถูกขับออกไปก็ยังเติมไปด้วย สารอาหารที่มีคุณค่ามากมายต่อการสร้างความชุ่มชื้นให้กับร่างการ และ การสร้างกระดูก และ ฟันที่แข็งแรงอีกด้วย

** ดังนั้นก่อนดื่ม โค้ก ครั้งต่อไปจงลองคิดให้ดีก่อนนะ*

"ข้าวผัดน้ำพริกทะเล" สูตรชาวเลที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว


"ข้าวผัดน้ำพริกทะเล" สูตรชาวเลที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวมีครบทั้งผักสด ปรุงรสด้วยน้ำพริกกะปิ ที่กลมกล่อมหอมมันสามรส และไม่เผ็ดเกินไปนัก ที่ "กวิสรา เรืองทับ" ข่าวสดระยอง นำมาฝาก


ที่ร้านอาหารตามสั่งอายุกว่า 40 ปี มี "น.ส.ยินดี พงษ์วารินทร์" อายุ 50 ปี ผู้คร่ำหวอดกับการปรุงอาหารมายาวนานตั้งแต่ วัยเยาว์ เป็นกุ๊กมือเอกประจำร้าน โดยเฉพาะเมนู "ข้าวผัด น้ำพริกทะเล" ที่ลูกค้าสั่งเป็นประจำ

นำข้าวโพดอ่อน มะเขือเปราะ ชะอม กะหล่ำปลี มาหั่นเป็นท่อนๆ พอคำ ส่วนมะเขือเปราะผ่าสี่ซีก นำไปลวกน้ำร้อนให้สุกพอกรอบ ยกขึ้นตั้งรอ

น้ำพริกกะปิ มีกระเทียมพริกสดใช้สีแดงเพิ่มสีสัน ลงไปโขลกตำละเอียด ใส่กะปิแท้บีบน้ำมะนาวสดเพิ่มความเปรี้ยวจัดจ้าน คลุกเคล้าให้เข้ากัน รสชาติเผ็ดกลาง ปรุงให้ได้สามรส จากนั้นนำกระทะใส่น้ำมันตั้งไฟร้อนๆ นำข้าวสวยพร้อม น้ำพริกกะปิลงใส่กระทะพร้อมกัน แล้วใส่ผักที่ลวกเตรียมไว้ลงไปกับกุ้ง หมึก เครื่องทะเล ปรุงรสเพิ่มตามชอบ

ร้านอยู่เลขที่ 121/4 ม.4 ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง วิ่งมาทาง ถ.สุขุมวิท เห็นป้าย พัน.ร.7 ค่ายมหาสุรสิงหนาท ร้านอยู่หน้าค่ายทางซ้ายมือ ป้ายร้าน "สุกี้รสเด็ด ราดหน้า อาหารตามสั่ง" เส้นทางสะดวกวิ่งลัดไปหาดแม่รำพึงได้อีกด้วย

โทร.มาสั่งล่วงหน้าที่เบอร์ 08-3120-6911

ขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบจาก 
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438936715

“ไช่กัว” ผักกาดดองแห้ง ความอร่อยคู่ครัว

ไช่กัว ผักกาดดองแบบแห้ง

 เรื่องการหมักดองนั้น เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่ใช้ถนอมอาหารให้สามารถเก็บไว้กินได้นาน หรือเก็บไว้กินในยามที่อยู่นอกฤดูกาลของอาหาร การหมักดองนั้นทำได้ทั้งกับเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีส่วนผสมและวิธีการหมักที่แตกต่างกันไป
       
       ที่เราคุ้นเคยกันดีก็เห็นจะเป็นพวกผักดองทั้งหลายที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด มีทั้งหมักดองแบบไทยๆ และหมักดองแบบชาวจีน โดยเฉพาะพวกผักกาดดองนั้น เราสามารถนำมาเป็นเครื่องเคียง หรือเป็นส่วนหนึ่งในเมนูอาหารได้หลากหลายจาน 


ไช่กัวแห้ง ก่อนนำไปปรุงอาหารต้องล้างน้ำออกหลายๆ น้ำ

   แต่ที่ “108 เคล็ดกิน” จะชวนมาทำความรู้จักกันในครั้งนี้ เป็นผักกาดดองแบบแห้ง หรือที่เรียกว่า “ไช่กัว” (ไฉ่กัว, ไช้กัว, ฮามช้อย หรือ ช้อยกอน) อันเป็นวิธีการหมักดองผักกาดในแบบจีน
       
       หน้าตาของ “ไช่กัว” ลักษณะเป็นผักแห้งๆ เหี่ยวๆ บางแห่งอาจจะเห็นเกล็กของเกลือเคลือบอยู่บนผิวด้วย วิธีทำไช่กัวนั้นก็ต้องใช้ผักกาดเขียวปลี เลือกเอาที่มีใบมากๆ และยังเขียวสดอยู่ นำมาล้างทำความสะอาดและผึ่งแดดให้ผักเหี่ยว
       
       จากนั้นนำมาดองในน้ำเกลือเข้มข้น ใช้เวลา 2-3 วัน จึงนำผักขึ้นมาจากน้ำเกลือ บีบน้ำออก แล้วนำไปอบหรือตากให้แห้งสนิท เมื่อผักแห้งดีแล้วอาจจะเห็นเกล็ดเกลือจับอยู่เล็กน้อย

ไช่กัวที่เสิร์ฟมาในจานขาหมู

ส่วนเวลาจะนำมากิน ต้องนำมาล้างน้ำเปล่าหลายๆ น้ำ บีบน้ำออก หรือนำไปต้มน้ำเดือดแล้วเทน้ำทิ้งไปก่อน เพื่อเวลานำไปปรุงอาหารจะได้ไม่เค็มจัดจนเกินไป
       
       สำหรับเมนูอาหารที่นิยมใช้ไช่กัวมาปรุงก็อย่างเช่น ต้มจับฉ่าย กินคู่กับข้าวสวยหรือข้าวต้มร้อนๆ นำมาต้มกับหมูสามชั้นหรือกระดูกหมู นำไปปรุงเป็นเมนูเคาหยก ซึ่งเป็นอาหารจีนกวางตุ้ง นอกจากนี้เรายังคุ้นเคยกันดีที่ในเมนูขาหมู จะมีไช่กัวต้มแล้วเสิร์ฟอยู่เคียงคู่กับขาหมูนั่นเอง
       
       ไช่กัวรสชาติออกเค็มนิดๆ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ หากล้างอย่างดีจนลดความเค็มไปมากก็จะทำให้เวลาตุ๋นกับน้ำซุปนั้นได้รสชาติน้ำซุปที่กลมกล่อม กินแล้วอร่อยเข้ากันดีกับกระดูกหมูหรือหมูสามชั้นที่ต้มจนเปื่อยไปพร้อมๆ กัน 

ขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบจาก http://manager.co.th/Food/ViewNews.aspxNewsID=9580000077283
 



ใครชอบกินกุ้งเต้น โปรดอ่าน ! แพทย์เตือนระวังเห็บปลา ไม่ควรกินสด


หลังจากที่มีการแชร์ข่าวนี้กันไปสักพักใหญ่แล้ว แต่หลายคนอาจจะเห็นข่าวลือกันอยู่บ้าง ซึ่งกำลังระบาดอยู่ทั่วโซเชียลเน็ตเวิร์กที่กลับมาฮือฮากันใหม่ว่ามีการพบพยาธิใบไม้จำนวนมากในตัวกุ้งที่นิยมนำมาทำเมนู “กุ้งเต้น” จนทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งข่าวลือดังกล่าวก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการตั้งข้อสงสัยว่าแท้จริงแล้วภาพที่เห็นใช้พยาธิใบไม้จริงหรือไม่ โดยข้อความที่ถูกส่งต่อมีดังนี้
สำหรับคนที่ชอบทานกุ้งเต้นน้าา พอดีพ่อจะให้ทำให้กิน ดูกุ้งแล้วแก้มมันป่องข้างนึง เหมือนมีตัวไรอยู่ เลยแงะมาดู พระเจ้า!!! พยาธิใบไม้ตัวจริงเสียงจริง ลองสุ่มจับกุ้งมา 30 ตัว เจอ 26 ตัว ก่อนทานสังเกตด้วยน้าา ไม่ก็ทำให้สุกดีก่า ***แงะตัวพยาธิออกแล้วไม่ใช่กินต่อน้ะ ทิ้งไปโลดดด เพราะมันมีไข่อีกเป็น 100 ๆๆ ฟอง”
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด คุณ หมอแมว แพทย์คนดังในแวดวงโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็ออกมายืนกรานอีกเสียง ผ่านทาง บล็อกส่วนตัว ว่า ภาพที่เห็นแชร์กันอยู่นั้น ไม่ใช่พยาธิใบไม้แต่อย่างใด แต่เป็นเห็บปลา (Argulus) ซึ่งข้อมูลจากหมอแมวมีใจความดังนี้
“จากกรณีนี้ได้ลองตรวจสอบภาพและซูมดู คิดว่าไม่ใช่พยาธิใบไม้นะครับ เพราะว่ารูปร่างหน้าตากับตำแหน่งที่มันเกาะ เข้าได้กับกลุ่มสัตว์ขาข้อที่เรียกว่า เห็บปลา (Argulus) ปกติในบ่อปลาสวยงามที่มีเห็บปลาระบาดแล้วใช้ยาไม่ได้ นักเลี้ยงปลาบางคนก็จะปล่อยกุ้งฝอยลงไปหลาย ๆ ตัว เพราะเห็บปลาจะชอบย้ายไปเกาะกุ้งแทน ปล.แต่ไม่ควรกินสดอยู่ดีครับ พยาธิมันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรอกครับ”
ที่มา   คุณ หมอแมว
http://sadednews.com/7975